ผมวางหนังสือเล่มนี้ลงทันทีเมื่อผมอ่านไปได้เพียงไม่ถึง 20 หน้า – หนังสือเล่มนี้เริ่มต้นด้วยเนื้อหาที่ฉุดเราให้ดิ่งลงไปถึงก้นเหวเพื่อให้เราเข้าใจว่าผู้ที่เป็นโรคซึมเศร้ามีความคิดอย่างไร รู้สึกอย่างไร ผู้เขียนกำลังบรรยายถึงตัวเองที่กำลังพยายามที่จะฆ่าตัวตาย
หลังจากที่ผมวางหนังสือเล่มนี้ทิ้งไว้หลายเดือน ผมก็ได้หยิบขึ้นมาอ่านอีกครั้งหลัง “ไม่หายป่วยหรอก แต่ก็เป็นหลักฐานว่า คนที่ป่วย ก็ใช้ชีวิตได้อยู่นะคะ” รุ่นน้องคนหนึ่งที่เคยเผชิญปัญหาและได้อ่านหนังสือเล่มนี้จบแล้วเล่าให้ฟัง ด้วยคำพูดนี้ ผมจึงค่อย ๆ พยายามอ่าน แล้วก็ทำความเข้าใจกับสิ่งที่ผู้เขียนเล่าให้ฟังในหนังสือ
‘ผู้ป่วย’ ที่ผมพูดถึง หมายถึงผู้ที่เป็นโรควิตกกังวล ซึมเศร้า แพนิก หรือ โรคที่เกิดขึ้นกับจิตใจ เป็นโรคที่มองไม่เห็น แต่สัมผัสได้ด้วยการพูดคุยและทำความเข้าใจกับผู้ที่มีปัญหา
หนังสือฉบับภาษาไทยที่ผมอ่านไม่มีสารบัญ มันคงไม่ใช่ความผิดพลาดแต่คงเป็นความจงใจ ไม่ใช่หนังสือที่เรียบเรียงไว้เป็นระบบที่เข้าถึงเนื้อหาแต่ละหัวข้อได้ง่ายเหมือนอย่างหนังสือวิชาการ แต่การที่ไม่มีสารบัญนี้ ทำให้เราต้องอ่านทีละหน้าไปตามลำดับที่ผู้เขียนจัดเอาไว้ ซึ่งมันดีเหลือเกิน มันทำให้เราเข้าใจอารมณ์ในแต่ละลำดับ จากจุดที่ดำดิ่ง ไปสู่จุดที่เหมือนว่าเป็นคำตอบสำหรับวิธีการมีชีวิตอยู่ต่อไปของผู้ป่วย
หนังสือเล่มนี้จะพาให้ผู้อ่านเข้าใจความรู้สึกของผู้ป่วยมากยิ่งขึ้น ทำไมคนบางคนถึงทำอะไรที่ดูเหมือนง่ายได้ลำบากยากเย็นนัก ทำไมการยืนต่อหน้าสาธารณะชนถึงเป็นเรื่องน่าอึดอัดใจ ทำไมการเดินเข้าร้านขายของชำที่อยู่ใกล้บ้านถึงเป็นเรื่องเลวร้ายที่สุดสำหรับใครบางคน ถึงแม้ผู้อ่านอาจจะไม่สามารถรู้สึกได้เหมือนกับผู้ป่วย แต่หนังสือเล่มนี้ก็จะทำให้ผู้อ่านเข้าใจถึงความรู้สึกนึกคิดของผู้ป่วยมากยิ่งขึ้น
เรื่องราวเริ่มจากจุดที่ต่ำที่สุด น่าเศร้า น่าหดหู่มากที่สุด อย่างที่บอกไปแล้วในย่อหน้าแรกของบันทึกนี้ ผู้เขียนเล่าถึงตัวเองตอนที่กำลังเป็นโรคซึมเศร้า และการเปลี่ยนแปลงจากจุดที่ต่ำที่สุด ค่อย ๆ ผ่านพ้นมาสู่จุดที่เสมือนกลายเป็นคนปกติอีกครั้งหนึ่ง ใช้ชีวิตตามปกติได้อีกครั้งหนึ่ง แม้ว่าตอนจบ เราอาจจะรู้สึกได้ว่าท้ายที่สุด เขาก็ไม่ได้หายป่วย ไม่สามารถกลับมาเป็นคนปกติธรรมดาได้อีกต่อไปแล้ว แต่อย่างน้อย ๆ เขาก็กลับมาใช้ชีวิตอยู่ต่อในโลกใบนี้ได้อีกครั้งหนึ่ง
ผมอยากให้ทุกคนที่เห็นคนใกล้ตัวมีอาการซึม คิดลบ คิดมาก เครียด ได้อ่านหนังสือเล่มนี้ คุณจะได้เข้าใจเพิ่มขึ้นว่าคนที่มีปัญหาทางจิตใจกำลังเผชิญหน้ากับอะไร และคนใกล้ตัวของคุณที่กำลังมีปัญหานี้ เขาต้องการให้คุณเข้าใจเขาอย่างมาก ความรัก ความห่วงใย ของคุณที่มีต่อเขา จะช่วยผู้ป่วยได้
หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่บอกเล่าเรื่องราวของเด็กตัวเล็ก ๆ ยากจนคนหนึ่งที่มีอายุเพียง 5 ขวบ ท่ามกลางความยากลำบากของชีวิต 'ต้นส้ม' เป็นผู้รับฟังเรื่องราวที่เขาต้องเผชิญในแต่ละวัน และความสัมพันธ์ของเขากับผู้คนที่เขาได้พบเจอ ทำให้ชีวิตเขาค่อย ๆ เปลี่ยนไปจากเดิม
นี่เป็นหนังสือการเงิน การลงทุน สุดคลาสสิคเล่มหนึ่ง หนังสือบอกให้เราต้องมีความฉลาดด้านการเงิน แกนหลักของหนังสือ น่าจะเรียกว่าเป็นการสอนให้เข้าใจถึงการไหลของเงิน หรือที่ในหนังสือเรียกว่า "กระแสเงินสด" หนังสือเล่มนี้ให้ข้อคิดเชิงการเงินมากมาย เหมาะสำหรับทุก ๆ คนที่สนใจอยากผันตัวมาเป็นนักลงทุน หรือใครก็ตามที่มีปัญหาไม่สามารถเก็บเงินได้เสียที
คนไทยอ่านหนังสือเฉลี่ยคนละ 2-5 เล่ม/ปี เทียบกับคนสิงคโปร์ 50-60 เล่ม/ปี และคนเวียดนาม 60 เล่ม/ปี ถ้าหากมองจากตัวเลขทางสถิติข้างต้นแล้ว การอ่านหนังสือเพียงปีละ 2-5 เล่ม คงจะเป็นหนึ่งในหลักฐานที่บ่งบอกว่าคุณภาพของคุณไทยนั้นต่ำจริง ๆ ...