รีวิวหนังสือ : Reason to Stay Alive – แด่ผู้แหลกสลาย
“ไม่หายป่วยหรอก แต่ก็เป็นหลักฐานว่า คนที่ป่วย ก็ใช้ชีวิตได้อยู่นะคะ” “แมต เฮธ เค้าโชคดีที่มีครอบครัวคอยสนับสนุน” รุ่นน้องคนหนึ่งที่เคยเผชิญปัญหาและได้อ่านหนังสือเล่มนี้จบแล้ว เล่าให้ฟัง
“แม้คนไทยจะใช้เวลาในการอ่านเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ หากเทียบกับประเทศอื่นๆ โดยเฉพาะเพื่อนบ้านในกลุ่มประเทศอาเซียนก็พบว่า การอ่านของไทยยังอยู่ในอัตราที่ค่อนข้างต่ำ อ้างอิงจากข้อมูลการให้สัมภาษณ์ของนายกุลธร เลิศสุริยะกุล ผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาหลักสูตร สำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (กศน.) เมื่อปี 2555 ที่ระบุว่า คนไทยอ่านหนังสือเฉลี่ยคนละ 2-5 เล่ม/ปี เทียบกับคนสิงคโปร์ 50-60 เล่ม/ปี และคนเวียดนาม 60 เล่ม/ปี”
จาก https://thaipublica.org/2016/04/print-10/
แม้ว่าจะหาข้อมูลวิจัยที่สามารถสนับสนุนตัวเลขทางสถิติที่ถูกกล่าวถึงข้างต้นไม่ได้ แต่เมื่อพิจารณาดูแล้ว ทั้งตัวเองและคนที่อยู่รอบตัว ตัวเลขนี้ดูจะมีความจริงไม่น้อยเลยทีเดียว ไม่ต้องไปเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่นหรอก ดูที่ตัวเราก็พอแล้ว เราอ่านได้เกินปีละ 10 เล่มแล้วหรือยัง ?
อ้างอิงจากคำพูดข้างต้น เปรียบเทียบกับประเทศสิงคโปร์ และเวียดนาม ประเทศสิงคโปร์เป็นประเทศที่ขึ้นชื่อว่ามีคุณภาพการศึกษาอยู่ในระดับต้น ๆ ของโลก และเพื่อนบ้านของเราอย่างประเทศเวียดนาม ก็เป็นประเทศที่ได้รับการจัดอันดับว่ามีผลลัพท์ด้านคุณภาพการศึกษาสูงอันดับต้น ๆ ของโลกเช่นกัน
และถ้าหากมองจากตัวเลขทางสถิติข้างต้นแล้ว การอ่านหนังสือเพียงปีละ 2-5 เล่ม คงจะเป็นหนึ่งในหลักฐานที่บ่งบอกว่าคุณภาพของคุณไทยนั้นต่ำจริง ๆ
อ้างอิงจากคำบอกเล่าของรุ่นพี่ที่ทำงานด้าน IT
“… จ้างทีมโปรแกรมเมอร์จากเวียดนาม เพิ่มลดจำนวนตามโปรเจ็กที่รับ เพราะเมื่อทุกคนทำงานที่ไหนก็ได้ จ้างโปรแกรมเมอร์ไทยคุณภาพกลางๆ กลายเป็นราคาแพงกว่าโปรแกรมเมอร์เวียดนามคุณภาพเทพ ๆ …“
พวกเรารู้กันอยู่แล้วว่า สมัยนี้โลกเชื่อมโยงกันมากขึ้น การจ้างคนทำงาน หรือว่าจะซื้อสินค้า เราก็สามารถจ้างคนจากที่ไหนทั่วโลกก็ได้ จะซื้อของจากต่างประเทศก็ไม่ยากเหมือนสมัยก่อน ถ้ามองในมุมกลับกัน ถ้าเราเป็นคนที่จะต้องถูกเลือกบ้างล่ะ ลูกค้าซึ่งอยู่ที่อื่น ประเทศอื่น หรือประเทศไทยด้วยกัน มีโอกาสสูงแค่ไหนที่คนจะเลือกซื้อของคุณภาพที่สูงกว่า หรือราคาต่ำกว่า เขาจะเลือกจ้าง เลือกซื้อของจากคนไทยหรือเปล่าล่ะ
สินค้า และบริการที่คุณภาพดี ควรจะต้องมาจากผู้ผลิตและให้บริการที่มีคุณภาพสูงใช่ไหมล่ะ สิงคโปร์ คุณภาพสูงแน่ ๆ ค่าใช้จ่ายก็สูงแน่ ๆ ส่วนเวียดนามซึ่งมีคุณภาพการศึกษาสูงมากในระดับโลก มีราคาต่ำกว่านั้นมาก – ถ้าหากจะเอาจีนมาเป็นตัวเปรียบเทียบด้วยแล้วล่ะก็ ก็จะเป็นตัวเปรียบเทียบที่น่ากลัวยิ่งขึ้นอีก
PISA Test อาจจะไม่สามารถบ่งชี้ได้ทั้งหมด แต่ก็ทำให้เราเห็นอะไรหลาย ๆ อย่าง – เพื่อเปรียบเทียบเฉพาะคุณภาพการศึกษา ซึ่งใช้ผลการสอบ PISA Test เป็นตัวเปรียบเทียบว่าแต่ละประเทศมีคุณภาพการศึกษาเป็นอย่างไร ขอยกเอาข้อมูล PISA Test ครั้งล่าสุดที่มีข้อมูลของประเทศเวียดนามอยู่ในตารางการเปรียบเทียบ คือปี 2015-2016
ประเทศที่ถูกจัดกลุ่มว่ามีคุณภาพการศึกษาสูงนั้น ตัดสินด้วยคะแนนเฉลี่ยที่สูงกว่า 500 คะแนน ประเทศสิงคโปร์มีคะแนนสูงสุดอันดับหนึ่ง สำหรับประเทศจีน และเวียดนาม ก็เป็นหนึ่งในประเทศที่อยู่ในกลุ่มประเทศที่มีคะแนนสูงกว่า 500 —- ส่วนประเทศไทยน่ะหรอ ? จัดอยู่ในกลุ่มที่มีคะแนนต่ำไงล่ะ
อ่านหนังสือน้อย ➜ ความรู้ไม่พอ ➜ ทำข้อสอบได้คะแนนไม่ดี — พวกเราน่าจะคุ้นเคยกับความสัมพันธ์แบบนี้จากมุมของการเรียน และการสอบวัดผลการเรียน
ความรู้ไม่พอ ➜ ทำงานได้ไม่ดี ➜ คุณภาพชีวิตไม่ดี — เรารู้แน่ ๆ ว่าถ้าหากความรู้ไม่มากพอ ผลลัพท์ด้านการงานก็จะไม่ดีด้วย
แม้ว่าความสัมพันธ์ข้างต้นนั้น จะไม่ชัดเจนว่า ความรู้ไม่พอ ➜ ทำงานได้ไม่ดี เป็นผลที่มาจากการอ่านหนังสือน้อย อย่างน้อย ๆ เราก็น่าจะยอมรับได้ว่า การอ่านหนังสือให้มาก น่าจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีกว่าไม่อ่านหนังสือเลย
ความรู้นั้นก็ไม่ได้จากการอ่านเพียงอย่างเดียว อาจจะได้ความรู้จากประสบการณ์ทำงาน การฝึกฝน ครูพักลักจำ ฯลฯ อย่างไรก็ดี หากเป็นคนที่มีทักษะอยู่แล้ว บวกเข้ากับการอ่านหนังสือในเรื่องนั้น ๆ เพิ่มเติม ก็จะมีความสามารถเพิ่มขึ้นไปอีกแน่นอน
จากรายงานของ TK Park และสำนักงานสถิติแห่งชาติ ในปี 2558 ระบุว่าคนไทยอ่านหนังสือเฉลี่ยวันละ 66 นาที ซึ่งเป็นตัวเลขที่เพิ่มขึ้นมาหลังจากที่ทำการสำรวจอย่างต่อเนื่อง
Infographic ข้างต้นนั้น ทำให้เรารู้สึกใจชื้นขึ้นมาได้มากเลย คนไทยไม่ได้อ่านหนังสือเพียงแค่ปีละ 8 บรรทัด อย่างที่มีการปล่อยข่าวออกมา ข้อมูลนั้นชี้ให้เห็นว่า คนไทยอ่านหนังสือเพิ่มขึ้น ebook หรือสื่ออื่น ๆ ไม่ได้เข้ามาแทนที่การอ่านแต่อย่างใด กลับทำให้คนไทยอ่านหนังสือมากขึ้นด้วย
ยังไม่เจอบทความไหนที่ฟันธงระบุว่า คนเราควรจะอ่านหนังสือปีละกี่เล่ม เป้าหมายสำหรับการอ่านของแต่ละตัวบุคคลนั้นแตกต่างกัน ความจำเป็นในการอ่านเพื่อให้ได้ผลลัพท์ตามจุดประสงค์ของแต่ละคนนั้นก็แตกต่างกันไป
ถ้าหากเอาตัวเลขการอ่านหนังสือของสิงคโปร์หรือเวียดนาม มาสร้างเป็นสมการเหตุและผลดังนี้
อ่านหนังสือปีละ 50 เล่ม ➜ มีความรู้มาก ➜ คุณภาพการศึกษาอยู่ในระดับสูง + สิ่งแวดล้อมทางเศรษฐกิจเหมาะสม ➜ คุณภาพชีวิตดี
รู้ไหม มีรายงานที่ระบุว่า มหาเศรษฐีระดับโลกอย่าง บิล เกตต์ ก็อ่านหนังสือราว ๆ 50 เล่มต่อปีนะ
ดูจากตัวเลข ข้อมูล สมการที่ผูกเอาไว้ข้างต้น — เราก็ควรจะตั้งเป้าอ่านหนังสือกันให้ได้ปีละ 50 เล่มขึ้นไป นะ หรือหมายถึงสัปดาห์ละ 1 เล่ม
พวกเราก็คงจะเข้าใจได้นะว่า ถ้าเราต้องการจะได้ประโยชน์จากการอ่านหนังสือ เราก็ควรจะเลือกอ่านหนังสือที่สามารถให้ประโยชน์แก่เราด้วย อย่าพยายามนับหนังสือการ์ตูนหรือการอ่านบทความในโลกอินเตอร์เน็ตเป็นการอ่านหนังสือเลย เราควรตั้งเป้าให้จริงจังกว่านั้น
ถึงแม้เมื่อหมดปี แล้วเราอ่านหนังสือได้เพียงแค่ 20 เล่ม ก็ถือว่าเราอ่านหนังสือมากกว่าค่าเฉลี่ยของคนไทยแล้วล่ะ