รีวิวหนังสือ : Reason to Stay Alive – แด่ผู้แหลกสลาย
“ไม่หายป่วยหรอก แต่ก็เป็นหลักฐานว่า คนที่ป่วย ก็ใช้ชีวิตได้อยู่นะคะ” “แมต เฮธ เค้าโชคดีที่มีครอบครัวคอยสนับสนุน” รุ่นน้องคนหนึ่งที่เคยเผชิญปัญหาและได้อ่านหนังสือเล่มนี้จบแล้ว เล่าให้ฟัง
ใน Blog ของ James Clear (ผู้เขียนหนังสือ Atomic Habits) เขาได้เขียนบทความสั้น ๆ เกี่ยวกับแนวคิดของเขาที่จะช่วยให้เขา (และคนอื่น ๆ ที่รับเอาคำแนะนำของเขาไปประยุกต์ใช้) สามารถอ่านหนังสือได้มากขึ้น ซึ่งอาจจะทำให้สามารถอ่านได้จบโดยเฉลี่ย 30 เล่ม ในเวลา 1 ปี … เขาเขียนบรรยายแนวคิดของเขาเอาไว้ดังนี้
ถ้าคุณอ่านหนังสือออกอยู่แล้ว (ซึ่งแทบจะทุกคนน่ะแหละที่อ่านออก) ดังนั้นการอ่านเป็นเรื่องที่ง่ายเลยล่ะ คุณเพียงแค่ต้องจัดเวลาสำหรับการอ่านหนังสือ … แน่นอนล่ะ พูดน่ะง่ายกว่าทำเยอะเลย
เมื่อผมสำรวจนิสัยการอ่านหนังสือของผม ผมรู้เลยว่านิสัยการอ่านของผม ไม่ใช่แนวกระตือรือร้น แต่จะต้องได้รับแรงกระตุ้นจากภายนอกเสียมากกว่า ถ้าเมื่อไหร่ก็ตาม มี link ที่น่าสนใจโผล่ขึ้นมาให้เห็นบนหน้า Facebook หรือ Twitter ผมก็จะอ่านมัน เป็นปฏิกิริยาตอบสนองต่อสิ่งเร้า ผมไม่ได้เป็นคนที่กระตือรือร้นที่จะจัดเวลาเพื่อที่จะอ่านหนังสือในแต่ละวันหรอก ผมเพียงแค่อ่านไอเดียที่น่าสนใจ ที่ถูกผลักดันให้ผมเห็นตรงหน้าเท่านั้นเอง
ผลลัพท์น่ะหรอ การอ่านส่วนใหญ่ของผม จะเป็นการอ่านบทความออนไลน์ ซึ่งปัจจุบันนี้ มีบทความยอดเยี่ยมที่หน้าสนใจมากมายในโลกอินเตอร์เน็ต แต่ถ้าจะให้พูดโดยรวม ๆ คุณภาพที่ได้จากหนังสือดี ๆ น่ะ ดีกว่าอ่านบทความออนไลน์มากเลย โดยปกติแล้ว หนังสือมักจะมีการเรียบเรียงที่ดีกว่า มีการตรวจสอบแก้ไขอย่างเข้มงวดกว่า แล้วก็เป็นข้อมูลที่มีคุณภาพมากกว่าด้วย (มีการตรวจสอบข้อเท็จจริงของข้อมูล มีการค้นหาข้อมูลเชิงลึก) ถ้าหากต้องการได้รับประโยชน์จากการอ่านจริง ๆ แล้วล่ะก็ มันเป็นไปได้ว่า จะใช้เวลาของผมกับการอ่านหนังสือเป็นเล่ม ดีกว่าการอ่านบทความออนไลน์มากเลย
ดังนั้น ผมต้องหากลยุทธ์ที่จะทำให้ผมสามารถอ่านหนังสือมากขึ้นให้ได้ โดยที่จะต้องไม่มีสิ่งรบกวนภายนอกเข้ามาขวางทางผม
คุณจะทำอย่างไรน่ะหรอ ?
นี่เป็นเพียงรูปแบบเดียวที่ผมสามารถลงมือทำได้อย่างซ้ำ ๆ :
เริ่มต้นวันใหม่ด้วยการอ่านหนังสือ 20 หน้า
โดยปกติแล้ว ผมจะตื่นนอน ดื่มน้ำสักแก้วหนึ่ง เขียนรายการ 3 สิ่งที่ผมรู้สึกขอบคุณ แล้วอ่านหนังสือ 20 หน้า – ตลอดเวลา 10 สัปดาห์ที่ผ่านมา ผมได้ดำเนินกิจวัตรประจำวันแบบนี้ จนถึงวันนี้ก็เหลืออีกเพียง 100 หน้า ผมก็จะอ่านจบเล่มที่ 7 แล้ว ด้วยความเร็วเท่านี้ (หนังสือ 7 เล่ม ในเวลา 10 สัปดาห์) ผมก็จะสามารถอ่านหนังสือจบประมาณ 36 เล่มภายในปีหน้า … ไม่เลวเลยนะ
ทำไมผมถึงคิดว่ารูปแบบการใช้ชีวิตแบบนี้มันเวิร์คน่ะหรอ – 20 หน้า มันเป็นจำนวนที่กำลังดี ไม่ทำให้กังวลใจว่าจะทำไม่ได้ บางคนสามารถอ่านหนังสือ 20 หน้าได้จบภายในเวลา 30 นาที และถ้าหากมันเป็นสิ่งแรกในตอนเช้า ดังนั้นความเร่งด่วนอื่น ๆ จะยังไม่เข้ามาขัดขวางการลงมือทำ
แล้วก็ 20 หน้า มันดูเหมือนว่าจะน้อย แต่มันก็เป็นจำนวนหน้าที่มากพอที่จะทำให้อ่านหนังสือจบเล่มได้รวดเร็วนะ มันเป็นความเร็วเฉลี่ยที่ยอดเยี่ยมเลยทีเดียว
ถ้าหากมีเวลาว่างช่วงอื่น ผมก็จะอ่านต่อในช่วงเวลาอื่น ๆ ด้วยนะ – เพื่อเป็นการส่งตัวเองเข้านอน ผมได้เพิ่มการอ่านก่อนนอนเข้าไปในกิจวัตรประจำวันของผมด้วยนะ และไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นมาบ้างในแต่ละวัน ผมได้อ่านแน่นอน 20 หน้า ในตอนเช้า
คุณใช้เวลาชั่วโมงแรกของแต่ละวันอย่างไรล่ะ ?
ผู้คนส่วนใหญ่ใช้เวลากับการอาบน้ำแต่างตัว เตรียมตัวให้พร้อม แล้วรีบเร่งออกจากบ้าน แต่ถ้าหากว่าช่วงเวลานั้นเป็นช่วงเวลาที่จะทำให้คุณเป็นคนที่ดีกว่าเดิมล่ะ ? แล้วถ้าหากคุณตื่นนอนเร็วกว่าเดิมสัก 1 ชั่วโมง แล้วทำงานเพื่อพัฒนาตัวของคุณเองล่ะ ? คุณจะดีกว่าเดิมมากแค่ไหนในเวลาทำงาน ในเรื่องของความสัมพันธ์ หรือในฐานะบุคคลธรรมดา ?
มันคือสิ่งที่จำเป็นจะต้องเกิดขึ้น หากคุณเลือกใช้กลยุทธ์นี้ แล้วคุณก็ต้องลงมือทำไง ก่อนที่คุณจะก้าวไปสู่ชีวิตอันวุ่นวายยุ่งเหยิงในแต่ละวันของคุณ ลงทุนกับตัวเองก่อนสิ ก่อนที่ชีวิตของคุณจะกลายเป็นพายุหมุนวุ่นวายด้วยกิจกรรมต่าง ๆ อ่านหนังสือที่ทำให้คุณมีชีวิตที่ดีกว่านี้สิ มันก็เหมือนกับการปรับเปลี่ยนนิสัยที่ส่งผลกระทบให้ชีวิตคุณเปลี่ยนไปไง เรื่องแบบนี้น่ะ มันจะไม่ได้รู้สึกว่าเร่งด่วนเร่งรีบหรอก แต่มันเป็นเรื่องที่สำคัญ
20 หน้าต่อวันเท่านั้นเอง นั่นคือทั้งหมดที่คุณต้องการ
นั่นคือแนวคิดที่ James Clear ได้เขียนเอาไว้ใน blog ของเขา – 20 หน้า ง่ายจริงไหม ? ทำทุกวัน ทำได้ง่ายแค่ไหน ? แต่ถ้าหากมันสามารถทำให้เราสามารถอ่านหนังสือเล่มหนา ๆ 250-400 หน้า จบได้ในทุก ๆ 10-20 วัน มันก็น่ากัดฟัน ทดลองลงมือทำให้ได้นะ 🙂