รีวิวหนังสือ : Reason to Stay Alive – แด่ผู้แหลกสลาย
“ไม่หายป่วยหรอก แต่ก็เป็นหลักฐานว่า คนที่ป่วย ก็ใช้ชีวิตได้อยู่นะคะ” “แมต เฮธ เค้าโชคดีที่มีครอบครัวคอยสนับสนุน” รุ่นน้องคนหนึ่งที่เคยเผชิญปัญหาและได้อ่านหนังสือเล่มนี้จบแล้ว เล่าให้ฟัง
หนังสือเล่มนี้ถูกจัดอยู่ในหมวดของวรรณกรรมเยาวชน ทำให้เราเข้าใจว่านี่คือหนังสือสำหรับเด็ก ให้เด็กอ่าน หรืออ่านให้เด็กฟัง ชื่อหนังสือ “ต้นส้มแสนรัก” สื่อสารให้ผู้อ่านเข้าใจว่า นี่อาจจะเป็นหนังสือที่มีต้นส้มเป็นหนึ่งในตัวเอกของเรื่อง เป็นเรื่องของเกษตรกร การปลูกและดูแลต้นส้ม แต่มันกลับไม่ใช่อย่างนั้นเลย หนังสือเล่มนี้น่าจะเรียกว่าเป็นหนังสือเล่มแรกที่จะทำให้เด็กได้รู้ว่าชีวิตที่ลำบาก ขาดแคลน น่าเศร้า ผิดหวัง และไม่ยุติธรรมนั้นเป็นอย่างไร
หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่บอกเล่าเรื่องราวของเด็กตัวเล็ก ๆ ยากจนคนหนึ่งที่มีอายุเพียง 5 ขวบ ผู้ที่ใช้ชีวิตอยู่ในครับครัวที่มีพี่น้องหลายคน มีสมาชิกครอบครัวหลายคน มีชีวิตที่ไม่สวยงาม ต้องฝ่าฟันความยากลำบากที่ความยากจนทำให้เขาต้องเผชิญ เด็กน้อยคนหนึ่งที่จิตใจมีความอ่อนไหวอย่างมาก ใช้ชีวิตเด็กซนข้างถนน เป็นเด็กแสบที่ทุกคนต้องจดจำ เป็นนักเรียนที่ดีของคุณครู แต่มีความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจที่ตัวเองไม่ได้มีชีวิตที่ดี เขาคิดว่าเขาเป็นคนที่ “ใคร ๆ ก็ไม่รัก” อยู่ในบ้านที่มีแต่ความเครียดมากจนเกินไป ท่ามกลางความเครียด ความโหดร้ายของชีวิต ที่เด็กน้อยคนหนึ่งต้องเผชิญ เขามีต้นส้มเป็นเพื่อนคุยเป็นผู้ที่รับฟังเรื่องราวต่าง ๆ จากเขา และความสัมพันธ์ของเขากับผู้คนที่เขาได้พบเจอ ทำให้ชีวิตเขาค่อย ๆ เปลี่ยนไปจากเดิม
หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่บอกเล่าเรื่องราวของเด็กตัวเล็ก ๆ ยากจนคนหนึ่งที่มีอายุเพียง 5 ขวบ ท่ามกลางความยากลำบากของชีวิต ‘ต้นส้ม’ เป็นผู้รับฟังเรื่องราวที่เขาต้องเผชิญในแต่ละวัน และความสัมพันธ์ของเขากับผู้คนที่เขาได้พบเจอ ทำให้ชีวิตเขาค่อย ๆ เปลี่ยนไปจากเดิม
เรื่องราวของหนังสือเล่มนี้ ผมคาดเดาว่าเกิดขึ้นประมาณปี ค.ศ. 1924 ซึ่งเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อราว ๆ 100 ปีก่อนที่ผมจะเขียนบันทึกอันนี้
‘เซเซ่’ เด็กผู้ชายคนหนึ่งที่มีอายุเพียง 5 ขวบ ใช้ชีวิตอยู่ใน’บังกุ’ (คงจะเป็นชุมชนเล็ก ๆ หรือไม่ก็หมู่บ้าน) ในเมืองริโอเดจาเนโร อาศัยอยู่กับครอบครัวยากจน เป็นเด็กที่ด้อยโอกาส ทุก ๆ คนในครอบครัวพยายามที่จะทำงานเพื่อให้มีชีวิตอยู่รอด เขาจึงถูกปล่อยให้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยตัวเองลำพัง อยู่กับน้องชายชื่อหลุยส์ซึ่งยังเป็นเด็กเล็กมาก เขามีนิสัยซุกซนจนเกินไป ใช้คำหยาบ (ซึ่งอาจจะเป็นเพราะเติบโตอยู่ข้างถนน และไม่มีใครคอยดูแล) ทำให้เขามักทำให้คนรอบตัวโกรธในสิ่งที่เขาทำ ทุก ๆ คน ทั้งผู้ใหญ่ และเหล่าพี่ ๆ ญาติ ๆ หรือคนตามท้องถนนลงโทษเขาด้วยการตี ทำร้ายร่างกาย สำหรับเด็กตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งที่ไร้ทางสู้ จึงรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจกับชีวิตเป็นอย่างมาก
หลังจากที่พ่อของเขาถูกไล่ออกจากที่ทำงาน ครอบครัวของเขาจึงต้องย้ายไปอยู่บ้านใหม่ ซึ่งมีต้นไม้ไม่กี่ต้นอยู่รอบบ้าน ต้นไม้ต้นอื่น ๆ ถูกพี่ ๆ จับจองเป็นเจ้าของไปหมดแล้ว เหลือเพียงแต่ต้นส้มต้นเล็ก ๆ ต้นหนึ่ง ที่เขาสามารถจับจองเป็นเจ้าของได้ แรกเริ่มเขาก็ไม่พึงพอใจในต้นไม้ของเขา แต่พอเวลาผ่านไป เขากับต้นส้มของเขาก็เป็นเพื่อนกัน แล้วเขาก็มีต้นส้มเป็นผู้ที่คอบรับฟังสิ่งที่อยู่ในใจของเขาตลอดมา
หนังสือได้เล่าเรื่องราวชีวิตของเซเซ่ไปเรื่อย ๆ เซเซ่ได้พบเจอกับใครหลายคน แกล้งคนบนท้องถนน ทำเรื่องแสบ ๆ อย่างต่อเนื่อง และมีเรื่องราวดี ๆ ของเขาในโรงเรียนที่เขาได้เข้าไปเรียน จนมาวันหนึ่งเขาได้พยายามแกล้งคนรวยชาวโปรตุเกสคนหนึ่ง ซึ่งทำให้เขาถูกลงโทษเหมือนเคย ซึ่งทำให้เซเซ่แค้นคนโปรตุเกสคนนั้น แต่ในภายหลังชาวโปรตุเกสคนนั้นกลับหยิบยื่นมิตรภาพให้กับเซเซ่และในที่สุดความสัมพันธ์ระหว่างเซเซ่กับชาวโปรตุเกสทำให้เซเซ่ได้เรียนรู้ว่าความรักที่แท้จริงเป็นอย่างไร
เรื่องราวดำเนินต่อไป เซเซ่และชาวโปรตุเกสกลายเป็นมิตรที่ดีต่อกัน ชาวโปรตุเกสยอมรับให้เซเซ่เสมือนเป็นลูกคนหนึ่งของเขา แต่แล้วความโศกเศร้าก็เกิดขึ้น เมื่อเกิดอุบัติเหตุรถไฟชนรถยนต์ของชาวโปรตุเกสคนนั้นจนเสียชีวิต จิตใจของเซเซ่กระทบกระเทือนเป็นอย่างมาก ทำให้ป่วยหนักมาก ทำให้คนรอบ ๆ ตัวของเขาเป็นห่วงอย่างมาก รวมไปถึงคนอื่น ๆ ตามท้องถนนที่รู้จักกับเขาด้วย
อาการป่วยของเซเซ่ค่อย ๆ ดีขึ้นแต่กลับมาหายป่วยได้ แต่สิ่งต่าง ๆ รอบตัวเขานั้นก็ไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว ต้นส้มของเขาจะต้องถูกตัด และชาวโปรตุเกสที่เขารักก็ได้เสียชีวิตไปแล้ว ในตอนท้ายของเรื่องพ่อของเขาได้งานใหม่ซึ่งจะทำให้ครอบครัวของเขามีชีวิตที่ดีขึ้น แต่เซเซ่กลับไม่ได้นับถือพ่อที่แท้จริงของเขาเป็นพ่ออีกต่อไป เขาได้สูญเสีย”พ่อที่แท้จริง”ของเขาไปแล้ว (เขาหมายถึงชาวโปรตุเกสที่เขานับถือว่าเป็นพ่อที่เขารักมากที่สุด)
ผมยอมรับว่าในตอนที่ผมอ่านเรื่องนี้ ผมรู้สึกว่าอ่านยากเพราะเนื้อหาที่ทำให้รู้สึกเศร้า รู้สึกหดหู่ รู้สึกน่าสงสาร ชวนให้อยากร้องไห้ไปกับชีวิตที่เขาต้องเผชิญ – แต่ถ้าเด็ก ๆ เป็นคนอ่าน อาจจะไม่ได้รู้สึกอินกับมันมากเหมือนกับผมที่เป็นผู้ใหญ่นะ – เรื่องนี้มีความยากอีกอย่างหนึ่งก็คือ ชื่อของตัวละครในเรื่อง ซึ่งเป็นชื่อคนบราซิล ที่เราคงจะไม่ค่อยคุ้นหูและจำได้ง่ายมากนัก เมื่อมีตัวละครเพิ่มขึ้นมาทีละคน อาจจะทำให้สับสนบ้างว่าใครเป็นใคร รวมถึงชื่อสถานที่ ชื่อถนนซึ่งก็ฟังแล้วไม่คุ้นหูด้วย
ผมเชื่อว่าหากใครได้อ่านหนังสือเล่มนี้ คงจะจินตนาการได้ถึงความน่าสงสารของผู้ด้อยโอกาส ผู้ที่ยากจน ตกงาน ไม่มีอันจะกิน และความยากลำบากที่ชีวิตเด็กตัวเล็ก ๆ ที่ครอบครัวมีฐานะยากจนจะต้องเผชิญ เรื่องราวจะทำให้เรามีความรู้สึกอยากช่วยเหลือคนที่ยากจน ช่วยให้เราคิดอยากยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือสังคม ทำอะไรสักอย่าง เพื่อให้คนที่อยู่ร่วมกันในสังคมของเรา มีชีวิตที่ดีขึ้นกว่าเดิม